29/10/2025

รองจเรตำรวจแห่งชาติแถลงผล 7 ปฏิบัติการปราบอาชญากรรมไซเบอร์ และสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์เชื่อมโยง 4 ประเทศ

1144809_0

รองจเรตำรวจแห่งชาติแถลงผล 7 ปฏิบัติการปราบอาชญากรรมไซเบอร์ และสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์เชื่อมโยง 4 ประเทศ

 

สืบเนื่องจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามแต่งตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ร่วมเป็นคณะกรรมการ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.), พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ/รอง ผอ.ศปอส.ตร. ร่วมขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อยกระดับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน รูปแบบหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

วันนี้ (28 ตุลาคม 2568) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง จตช./รอง ผอ.ศปอส.ตร.) และประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ป้องกันการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แถลงผลปฏิบัติการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีผลการปฏิบัติของ ศปอส.ตร. และศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) หรือ International Anti-Scam and Human Trafficking Syndicate Command Center (Warroom IAC) ณ ห้องวอร์รูม IAC สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับสถานการณ์เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เชื่อมโยงประเทศมาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา และลาว ระหว่างวันที่ 20 – 26 ตุลาคม 2568 มีเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์หลัก ที่ส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาค ได้แก่

1) ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพเมียนมาในพื้นที่ “เคเคพาร์ก” (KK Park) ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการขนาดใหญ่ของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ส่งผลให้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 2,000 ราย และแรงงานจำนวนมากหลบหนีเข้าสู่ฝั่งไทย ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ขบวนการเร่งย้ายฐานและเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ

2) การสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกค่ายเร่งตรวจสอบและระงับการใช้ชิมการ์ดที่ไม่ผ่านการยืนยันตัวตน (KYC) ภายใน 7 วัน เพื่อปิดช่องทางการสื่อสารที่กลุ่มสแกมใช้โทรหลอกลวงประชาชน ถือเป็นมาตรการเชิงรุกที่สำคัญของฝ่ายนโยบายไทย

3) การประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC Secretariat) ไทย-กัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเห็นชอบกรอบความร่วมมือด้านความมันคงชายแดน 4 ประการ โดยมีประเด็น “การปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์” เป็นหัวข้อหลักของการหารือร่วม ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาคในการสกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ

ในส่วนของการดำเนินการของ ศปอส.ตร. และวอร์รูม IAC ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม – 26 ตุลาคม 2568 มีเคสที่รับเข้ามาจำนวน 916 เคส มูลค่าความเสียหายกว่า 559.2 ล้านบาท สามารถอายัดเงินได้ทัน 426 เคส มูลค่ากว่า 182.5 ล้านบาท ซึ่งมีปฏิบัติการที่น่าสนใจที่นำมาแถลงในวันนี้ จำนวน 7 ปฏิบัติการ

ปฏิบัติการที่ 1 : ปฏิบัติการหยุดเส้นทางสแกมข้ามโขง – ตำรวจเชียงแสนจับขบวนการลอบส่งของกลางบัญชี– ซิมม้าออกประเทศลาว
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำส่งสมุดบัญชีธนาคาร, บัตรอิเล็กทรอนิกส์ และซิมการ์ด ผ่านบริษัทขนส่งเอกชน เพื่อจะส่งออกไปยังประเทศลาว โดยพัสดุดังกล่าวจะนำมาฝากไว้ที่จุดฝากรถหน้าจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ ต่อมาพบว่ามีรถขนส่งบริษัทเอกชนขับขี่เข้ามาจอดยังบริเวณหน้าลานฝากรถ และมีเจ้าหน้าที่ขนส่งนำกล่องพัสดุจำนวนหนึ่งลงวางไว้ที่โต๊ะรับส่งพัสดุ และมีชายคนหนึ่งเดินออกมานำพัสดุดังกล่าวเข้าไป เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวและเข้าตรวจสอบ พบ นายรุ่งโรจน์ฯ แสดงตัวเป็นผู้รับและนำส่งกล่องพัสดุดังกล่าวไปยังประเทศลาว ผลการตรวจสอบพบกล่องพัสดุต้องสงสัยจำนวน 6 กล่อง ซึ่งภายในมีสมุดบัญชี ,บัตรอิเล็กทรอนิกส์ และซิมการ์ด จำนวนหลายรายการ เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา และจับกุมตัว นายรุ่งโรจน์ฯ พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางเพื่อทำการขยายผลต่อไป

ปฏิบัติการที่ 2 ปฏิบัติการตัดวงจรหลอกข้ามแดน – ช่วยเหลือเหยื่อ 13 ราย ก่อนถูกพาข้ามไปกัมพูชา
กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ติดตามช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังได้รับแจ้งว่ามีเหยื่อถูกหลอกให้ทำงานแอดมิน จำนวน 4 คน โดยให้เปิดห้องพักรอเพื่อข้ามไปประเทศกัมพูชา ที่บริเวณ ต.หนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี หลังได้รับแจ้ง พล.ต.ต.ผดุงศักดิ์์ รักษาสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปยัง สภ.บ้านแปลง เพื่อเข้าช่วยเหลือเหยื่อ พบกลุ่มคนอายุประมาณ 20-30 ปี ประมาณ 10 คน ถือกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องพัก ลักษณะคล้ายรอคนมารับ ต่อมาพบรถยนต์ 2 คัน เข้ามาในรีสอร์ทเพื่อรับกลุ่มคนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ พบคนขับรถ 2 คน และเหยื่อ จำนวน 13 คน จึงนำตัวทั้งหมดไปที่ สภ.บ้านแปลง เพื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น และเข้าร่วมกระบวนการคัดกรองเหยื่อ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสืบสวนขยายผล

ปฏิบัติการที่ 3 : ปฏิบัติการคืนเหยื่อสู่บ้าน – ตำรวจภ.1 สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์และช่วยเหยื่อกลับสู่ครอบครัว
นายอนันต์สิทธิ์ฯ อายุ 57 ปี ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เกาะคา จ.ลำปาง ว่า น.ส.พลอยน้ำผึ้งฯ อายุ 27 ปี หลานสาวของตน ถูกหลอกไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ถูกบังคับให้ทำงาน กักขัง และทำร้ายร่างกาย ต่อมา พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1 ได้ติดตามประสานงาน
จนสามารถช่วยเหลือ น.ส.พลอยน้ำผึ้งฯ เดินทางกลับประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะคา เดินทางมารับตัว น.ส.พลอยน้ำผึ้งฯ เพื่อเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ปฏิบัติการที่ 4 ปฏิบัติการสกัดคอลเซ็นเตอร์-ก.สส.บก.น.6 และ สน.พลับพลาไชย 2 บแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวฮ่องกง คืนทรัพย์สินกว่า 1.3 ล้านบาทให้ผู้เสียหาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.6 และ สน.พลับพลาไชย 2 ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวฮ่องกง ซึ่งเป็นสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมของกลางเงินสดและทองคำจำนวนมากนั้น ในระหว่างการสืบสวนพบว่า กลุ่มมิจฉาชีพกำลังหลอกลวงผู้เสียหายรายหนึ่งในพื้นที่ สน.วังทองหลาง จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ พบหญิงสูงวัย อายุประมาณ 80 ปี กำลังสนทนาทางโทรศัพท์กับกลุ่มมิจฉาชีพ จนกระทั่งเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงตัวอย่างชัดเจนจึงมั่นใจว่าเป็นตำรวจจริง และรีบวางสายจากคนร้ายในทันที ส่งผลให้ปลอดภัย ไม่ถูกหลอกให้โอนเงินเพิ่มเติม ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งให้ผู้เสียหายเดินทางมารับคืนทรัพย์สินที่ สน.วังทองหลาง ซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาที่ถูกยึดจากผู้ต้องหาชาวฮ่องกงรายดังกล่าวของ สน.พลับพลาไชย 2 โดยมีรายการทรัพย์สินที่ส่งคืน รวมมูลค่ากว่า 1,325,000 บาท

ปฏิบัติการที่ 5: ปฏิบัติการ 191 ทลายฐานแก๊งคอลเซนเตอร์จีน
งานสายตรวจ 2 กองกำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) ได้นำหมายค้นศาลอาญาเข้าค้นบ้านหลังหนึ่ง ซ.ลาดพร้าว 3 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พบข้อมูลในคอมพิวเตอร์เป็นแบบฟอร์มการพูดหลอกลวงผู้อื่นเป็นภาษาอังกฤษ จีน สเปน และมีแชทสนทนาในแอปพลิเคชันโซเซียลต่างๆ คุยกับผู้อื่นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ อาจเชื่อว่าเป็นฐานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน ซึ่งใช้หลอกลวงนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ โดยอ้างว่าให้คำปรึกษาคดีต่างๆ

ปฏิบัติการที่ 6 :ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมดีอีเอส–วอร์รูม IAC ปิดจุดเชื่อม Sim Box สกัดขบวนการคอลเซ็นเตอร์
ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วได้รับข้อมูลจากวอร์รูม IAC เกี่ยวกับหมายเลขโทรศัพท์ที่เชื่อว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้หลอกลวงประชาชน ว่าได้เปิดเบอร์โทรศัพท์และมีการใช้งานในพื้นที่ อ.เมือง จ.สระแก้ว ต่อมากองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 ได้ประสานข้อมูลและลงพื้นที่สืบสวนร่วมกับกองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว พบว่าบริเวณพิกัดบ้านหลังหนึ่ง ถ.เทศบาล 7 ต.สระแก้ว อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นห้องเช่า น่าเชื่อว่าจะเป็นจุดติดตั้ง Sim box (เครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์) จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้น ผลการตรวจค้น พบ น.ส.นภาภรณ์ฯ แสดงตนเป็นเจ้าบ้าน พร้อมตรวจยึดของกลาง ประกอบด้วย Sim box จำนวน 1 เครื่อง (ซึ่งสามารถใส่ซิมการ์ดได้ 128 ช่อง/เครื่อง), โมเด็มต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ต 1 เครื่อง, กล้องวงจรปิด 1 ตัว, เครื่องสำรองไฟ จำนวน 2 ตัว, กล่องใส่โมเด็ม จำนวน 1 กล่อง และอื่นๆ อีกหลายรายการ

ปฏิบัติการที่ 7 : สืบสวนเชียงรายขยายผล จับขบวนการม้ากดเงิน ปิดเส้นทางฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์
กองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย สืบสวนขยายผลการจับกุมกลุ่มขบวนการ “ม้ากดเงิน” หลังจากได้จับกุม นายหูฯ พร้อมด้วยของกลางบัตรเอทีเอ็ม 2,060 ใบ, เงินสด ประมาณ 540,000 บาท, คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนสามารถพิสูจน์ทราบตัวผู้ร่วมกระทำความผิดได้ พบว่าเป็น น.ส.ศิรประภาฯ อายุ 19 ปี พักอาศัยอยู่ที่แมนชั่นแห่งหนึ่ง ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบ น.ส.ศิรประภาฯ พร้อมสมุดบัญชีธนาคารพร้อมบัตรเอทีเอ็ม จำนวน 16 ชุด ต่อมาได้มีรถยนต์เก๋งเข้ามาจอดภายในบริเวณแมนชั่น พบว่าผู้ขับขี่คือนายพัทธนันท์ฯ และผู้โดยสารคือ น.ส.นงคราญฯ และพบบัญชีธนาคารระบุชื่อ หจก.นงคราญ คาร์แคร์ และซิมการ์ดโทรศัพท์ 2 ซิม จึงได้ตรวจยึดไว้ สอบถาม น.ส.นงคราญฯ รับสารภาพว่าบัญชีธนาคารดังกล่าวได้รับการว่าจ้างจาก นายพัทธนันท์ฯ และก่อนหน้านี้ได้เปิดบัญชีให้กับนายพัทธนันท์ฯ มาก่อนจำนวน 1 บัญชี จากนั้นตำรวจได้เดินทางไปตรวจค้นบ้านพักของ นายพัทธนันท์ฯ ม.15 ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย พบเครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 16 นัด, บัตรเอทีเอ็ม 4 ใบ, สมุดบัญชี 3 เล่ม, ซิมการ์ดโทรศัพท์ 4 ซิม, คอมพิวเตอร์ 1 ชุด จึงได้ทำการตรวจยึดไว้และควบคุมตัวทั้ง 3 ราย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ กล่าวว่า การปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญในการดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์อย่างจริงจัง และให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

ปิดโหมดสีเทา