ชุมพร – ขอบคุณ ผู้ว่าฯชุมพร ยุตติมหากาพย์บริษัทยักษ์ใหญ่ยืดเยื้อเกียร์ว่างมานานนับ 10 ปี ทำรัฐเสียรายได้ปีละเกือบ 100 ล้านบาท

ชุมพร – ขอบคุณ ผู้ว่าฯชุมพร ยุตติมหากาพย์บริษัทยักษ์ใหญ่ยืดเยื้อเกียร์ว่างมานานนับ 10 ปี ทำรัฐเสียรายได้ปีละเกือบ 100 ล้านบาท
เครือข่ายเกษตรกรขอบคุณ ผู้ว่าฯชุมพร เฉียบขาดมีความเห็นถึงอธิบดีกรมป่าไม้ ไม่สมควรอนุญาตให้ต่อสัมปทานให้บริษัทยักษ์ใหญ่ หลังมหากาพย์ ยืดเยื้อเกียร์ว่างมานานนับ 10 ปี ทำรัฐเสียรายได้ไปปีละเกือบ 100 ล้าน
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 28 เมษายน 2568 นายกฤษฎ์ แก้วรักษ์ รองนายก อบจ.ชุมพร ในฐานะตัวแทนเครือเกษตรกรจังหวัดชุมพร นายสันต์ แซ่ตั้ง สส.ชุมพร เขต 2 ในฐานะรองประธานคณะกรรมาการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร นายอวยพร มีเพียร ที่ปรึกษาคณะกรรมการที่ดินฯ นายนิยม สังข์เอียด อดีต นายก อบต.หงษ์เจริญ พร้อมเครือข่ายฯและชาวบ้านประมาณ 200 คน เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดชุมพร เพื่อมาแสดงความขอบคุณต่อ นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผวจ.ชุมพร กรณีมีหนังสือถึง อธิบดีกรมป่าไม้ เรื่องมีความเห็นไม่สมควรอนุญาตให้ บริษัทยักษ์ใหญ่ ต่อสัมปทานใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและ ป่าสลุย ใช้ประโยชน์ ปลูกปาล์มน้ำมันต่อไปอีก หลังหมดอายุสัมปทานมานานตั้งแต่ ปี พ.ศ.2558 แต่ยังมีการดึงเวลาจนยืดเยื้อมาถึงปัจจุบันนาน 10 ปี ขณะที่รัฐสูญเสียรายได้ไปเป็นจำนวนมาก
นายกฤษฎ์ แก้วรักษ์ เครือเกษตรกรจังหวัดชุมพร กล่าวว่าพวกเรามาขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ที่มีความเห็นไม่สมควรอนุญาตให้บริษัทดังกล่าวได้รับอนุญาตสัมปทานต่อ เพราะปัญหานี้ยืดเยื้อมานานนับ 10 ปีแล้ว เนื่องจากบริษัทที่ได้รับสัมปทานปลูกป่า ทำสวนปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและ ป่า สลุย โดยอยู่ในท้องที่ ตำบลหงษ์เจริญ เนื้อที่ 7,109 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวา และในท้องที่ ตำบลรับร่อ เนื้อที่ 16,256 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา รวมกว่า 23,000 ไร่ ซึ่งทั้ง 2 แห่งหมดสัญญาสัมปทานมานานตั้งแต่ปี 2558 ปัจจุบัน 2568 แต่บริษัทยังเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ในพื้นที่ โดยอ้างคำสั่งศาลปกครองยังให้ความคุ้มครองอยู่
นายกฤษฎ์ กล่าวต่อว่า ความจริงแล้วเรื่องนี้ มีการฟ้องไปที่ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ซึ่งให้ความคุ้มครองแก่บริษัท ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทจะ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของกรมป่าไม้ ในการยื่นขอเก็บของป่าทุกปี ต้องเสียค่าภาคหลวงตามที่กรมป่าไม้กำหนด หากไม่ดำเนินการดังกล่าวให้ถือว่าความคุ้มครองสิ้นสุดลงทันที แต่บริษัทไม่ได้ดำเนินให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามที่ศาลปกครองสูงสุดให้ความคุ้มครอง จึงต้องถือว่าสิ้นสุดความคุ้มครองไปแล้ว แต่หน่วยงานรัฐก็กลับนิ่งเฉยไม่ดำเนินการใดๆ และมักจะอ้างกับประชาชนว่าศาลปกครองยังให้ความคุ้มครองแก่บริษัทอยู่ ทั้งๆที่นานถึง 10 ปีแล้ว ยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร
นายกฤษฎ์กล่าวว่า นอกจากนั้นจากการตรวจสอบพบว่า ช่วง 5 ปี หลังที่ก่อนจะหมดสัมปทานในปี 2553 -2558 รวม 5 ครั้ง บริษัทมายื่นขอเก็บของป่า กับทางจังหวัดชุมพร แต่ไม่มารีบหนังสือการขออนุญาต และไม่เสียค่าภาคหลวงแต่อย่างใด ซึ่งกรณีนี้ที่ผ่านมาทางจังหวัดชุมพร ได้มีหนังสือหารือไปยังอธิบดีกรมป่าไม้ และได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า หากบริษัทไม่มารับและไม่ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้จังหวัดชุมพร สนธิกำลังกับพนักงานเจ้าหน้าที่แห่งท้องที่ตามประกาศกระทรวงฯ ตาม พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และ พรบ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เข้าตรวจสอบพื้นที่ หากมีการฝ่าฝืนไม่ขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและไม่ขออนุญาตเก็บหาของป่า (ผลปาล์มน้ำมัน) หากพบการกระทำผิด ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทุกตัวบทกฎหมาย ทั้งคดีอาญา คดีแพ่ง ภาษีอากรและคดีทางปกครอง
” ตนจึงขอให้หน่วยงานเกี่ยวข้อง ปปช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องได้ลงมาตรวจสอบกรณีนี้ที่บริษัทเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ระเบียบและกฎหมายว่าด้วยการเก็บของป่า เป็นเหตุให้ รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งบริษัทจะต้องจ่ายค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1221 (พ.ศ.2535) ออกตามความใน พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ปีละประมาณ 66,000,000 บาท (หกสิบหกล้านบาทถ้วน) สำหรับแปลงที่อยู่ในเขตตำบลรับร่อ และจำนวน 28,000,000 บาท (ยี่สิบแปดล้านบาทถ้วน) สำหรับแปลงที่อยู่ใน ตำบลหงษ์เจริญ และมีหน่วยงานรัฐใดบ้านที่ต้องรับผิดชอบ” นายกฤษฎ์ กล่าว
ด้าน นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผวจ.ชุมพร กล่าวว่าหลังจากที่ตนมารับราชการที่ จ.ชุมพร ได้ไม่นาน นายกฤษฎ์ แก้วรักษ์ เครือเกษตรกรจังหวัดชุมพร ได้เข้ามาพบตนแล้วเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทที่หมดสัมปทานทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติกว่า 2 หมื่นไร่ พร้อมหลักฐานเอกสารต่างๆ เมื่อตนฟังแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่มหากาพย์มากยาวนานมาถึง 10 ปี
นายเธียรชัยกล่าวต่อ หลังจากนั้นก็ได้ตรวจสอบพบว่าบริษัทรับสัมปทานได้กระทำผิดเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตเก็บของป่า และไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ว่าด้วยกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ หรือกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ประกอบกับได้รับฟังข้อมูลปัญหาจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ เครือข่ายเกษตรกร และประชาชน มีความเห็นเหมือนกัน ตนในฐานะผู้ว่าราชการังหวัดจึงมีความเห็นไม่สมควรอนุญาตให้บริษัทใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวอีก.
ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514